วิตามินละลายในน้ำ vs. วิตามินละลายในไขมัน
วิตามินแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามคุณสมบัติในการละลาย ได้แก่ วิตามินที่ละลายในน้ำและวิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งมีความแตกต่างกันในแง่ของการดูดซึม การเก็บสะสม และหน้าที่ในร่างกาย
1. วิตามินละลายในน้ำ
วิตามินกลุ่มนี้ไม่สามารถสะสมในร่างกายได้นาน และส่วนเกินจะถูกขับออกทางปัสสาวะ ดังนั้นจึงต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน วิตามินกลุ่มนี้ ได้แก่:
- วิตามิน C: ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและการสร้างคอลลาเจน (พบในส้ม ฝรั่ง พริกหวาน)
- วิตามิน B-complex (B1, B2, B3, B5, B6, B7, B9, B12): มีบทบาทในการเผาผลาญพลังงานและบำรุงระบบประสาท (พบในธัญพืช เนื้อสัตว์ ไข่ นม)

2. วิตามินละลายในไขมัน
วิตามินกลุ่มนี้ต้องการไขมันในการดูดซึมและสามารถสะสมในร่างกายได้ ดังนั้นการได้รับมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะเป็นพิษ วิตามินกลุ่มนี้ ได้แก่:
- วิตามิน A: ช่วยบำรุงสายตาและระบบภูมิคุ้มกัน (พบในตับ แครอท ไข่แดง)
- วิตามิน D: ช่วยดูดซึมแคลเซียมและเสริมสร้างกระดูก (พบในแสงแดด ปลาแซลมอน นมเสริมวิตามิน D)
- วิตามิน E: มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยบำรุงผิวพรรณ (พบในน้ำมันพืช อะโวคาโด ถั่ว)
- วิตามิน K: ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและเสริมสร้างกระดูก (พบในผักใบเขียว ตับ ไข่)

ข้อควรระวังในการรับประทานวิตามิน
- วิตามินละลายในน้ำปลอดภัยกว่าเพราะร่างกายสามารถขับออกได้ง่ายหากได้รับเกินความจำเป็น
- วิตามินละลายในไขมันควรได้รับในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากการสะสมมากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง
- ควรรับวิตามินจากอาหารให้เพียงพอ และใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเฉพาะเมื่อจำเป็นภายใต้คำแนะนำของแพทย์
สรุป
วิตามินเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยวิตามินละลายในน้ำต้องได้รับเป็นประจำทุกวันเพราะไม่สามารถสะสมได้ ส่วนวิตามินละลายในไขมันสามารถสะสมในร่างกายได้แต่ต้องได้รับอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันภาวะเป็นพิษ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่สมดุลและมีความหลากหลายจะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินอย่างครบถ้วน